โพสต์ที่ได้รับความนิยม

วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กษัตริย์ยอดกตัญญู

คัดลอกมาจาก หนังสือ เรื่อง หยุด ความชั่วที่ไล่ล่าตัวคุณ
ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ



กษัตริย์ยอดกตัญญู
 
ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ .ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญู ที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร
ทราบไหม? คือคนในภาพนี้..ในหลวงของเรา...
ในหลวง...นอกจากจะเป็น
ยอดพระมหากษัตริย์ของโลก เป็น THE KING OF KINGS แล้ว
ในหลวงของเรายังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย
ความหวังของแม่...ทั้ง 3 หวัง ในหลวงปฏับติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์
เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา
ในหลวงทำกับแม่ยังไง ?
ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น....


หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้...
ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...? ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย.. มี คนเยอะแยะ...มีทหาร...มีองครักษ์ ...มี พยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่า อยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า..."ไม่ต้อง.... คนนี้...เป็นแม่เรา
...เรา ประคองเอง
ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา..สอนเราเดิน หัด ให้เราเดิน... เพราะฉะนั้น..
ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคองแม่เดิน เพื่อเทิดพระคุณท่าน... ไม่ต้องอายใคร...
เป็นภาพที่...ประทับใจมาก... เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน
ประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จ ... สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน ฝั่งนู้น.....8,000 คน
ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ "กษัตริย์ยอดกตัญญู..."
ในหลวง..เดินประคองแม่.. คนเห็นแล้ว ...เขาประทับใจ
ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน ... เอาไปติดไว้ที่บ้าน
เพื่อแสดงความเคารพ...กราบไหว้...
ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่เวลาออกไปไหนแต่งตัวโก้...ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย... แต่เวลาเดิน...
ไม่มีใครประคองแม่ กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย
ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ...ติดเหรียญตรา...เหรียญกล้าหาญ...เต็มหน้าอก...แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่
กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี... ประคองแม่ .... เป็นเรื่องของ...คนใช้ หลายคน...ให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ อาย...
เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ...อาย เวลาทำชั่ว...กล้า ....ไม่อาย...
ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ...
แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เอาไว้สอนลูก
เห็นภาพชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น ...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว
ราชเลขา..ของสมเด็จย่า... มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชน...ว่า...
ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ...ตอนนั้นอายุ 93
ในหลวง..เสด็จจากวังสวนจิตร.. ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน
ไปทำไมครับ....?
ไปกินข้าวกับแม่...ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ..พอเขาแถลงถึงตรงนี้
อาจารย์ตกตะลึง.. โฮ้โห....ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา
เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหมครับ ?
พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ?
5 วัน......
มีใครบ้างครับ....?
ที่จะอยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ 5 วัน
หายาก......... ในหลวงมีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ...
มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ 5 วัน
พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก..พลตรี...อธิบดี..ปลัดกระทรวง
ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่....บอกว่า...งานยุ่ง
แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย.. บอกว่า ไม่มีเวลา จะไปตี กอล์ฟ...
ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง ..?
พ่อแม่..พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง...ฝนตก...น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น...
พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...
ในหลวงจึงตัดสินพระทัย... ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน
เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ...93
สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน
ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วัน ไปไหนครับ ....?
ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า....
ในหลวง...ถือศีล 8 วันพระ ถือศีล 8
นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น...
เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะ ถือ ศีล
อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกินข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน....ให้แม่
เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?
ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว...



ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า... ในหลวงต้องเข้าไปกราบ ที่ตัก...
แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง... เข้ามากอด..กอดเสร็จก็หอมแก้ม...
ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวงบ้าง...?
ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ


เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม
ตอนสมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า
แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร ..เพราะ ไม่ได้ใส่น้ำหอม
แต่ทำไม...สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ... เพราะท่านได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง
หอมกลิ่นกตัญญู ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้ จะกตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้
ตัวแม่เองคือ สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็นเด็กหญิงสังวาลย์
เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ... เกิดมา เป็นพระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า
ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว
แต่ในหลวง..ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน....
ก้มลงกราบ..คนธรรมดา..ที่เป็นแม
หัวใจลูก...ที่เคารพแม่... กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว...
คนบางคน...พอเป็นใหญ่เป็น โตไม่กล้าไหว้แม่....เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ...เป็นชาวนา....เป็นลูกจ้าง...
ไม่เคารพแม่....ดูถูกแม่......
แต่นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว...นี่แหละ ครับความหอม
นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง...
ท่านหอมความดี...หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู..ของในหลวง
หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย...
ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...
นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย..ลองคิดดูซิ... อะไรอร่อย ๆ ในหลวงจะตักใส่ช้อนแม่...
อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก...หยิบผักมาม้วน ๆ ใส่ช้อน
แม่.....เอ้าแม่...แม่ทานซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ
ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุข ที่ได้กินข้าวกับลูก
มีความสุขที่ลูกดูแล....เอาใจใส่...
กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่...
ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง...ทราบไหม...?
ตอนในหลวงเล็ก ๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ... "อยากฟังแม่สอนอีก" เป็นยังไงบ้าง...?
เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ... อยาก ฟังแม่สอนอีก...
พวกเรา เป็นยังไง...?
เราคิดว่า...เรารู้มาก...เราเรียนสูง... เรามีปริญญา...แม่จบ ป.4
เวลาแม่สอน....ตะคอกแม่...ตวาดแม่...กระทืบเท้าใส่แม่...เบื่อจากตายอยู่แล้ว...รำคาญ....
พูดจาซ้ำซาก...เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที...
เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่......
พอสมเด็จย่าสอน...
ในหลวงจะเอากระดาษ มาจด...
มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่จำได้แม่น..
สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียนหนังสือที่ Swiss
ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน
เพื่อน ๆ เขามีจักรยานกัน
แม่บอกว่า...ลูกอยากได้จักรยาน... ลูกก็เก็บสตางค์...ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ...
เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ...สองเหรียญ พอได้มากพอ...ก็เอาไปซื้อจักรยาน...
นี่คือสิ่งที่แม่สอน...
แม่สอนอะไร..ทราบไหมครับ...?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน...
พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้ เลย ประเคนให้เลย..ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย...
เหลิง...และหลงตัวเอง พอโตขี้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้...
ยิงตำรวจ...ยังได้..เพราะหลงตัวเอง..พ่อกูใหญ่
เห็นไหม.....? ตามใจเทิดทูน จนเสียคน...
แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่..
สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก..
ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหย่อนกระปุก...
แม่สอน 2 เรื่อง คือ...ให้ประหยัด....ให้ยืนอยู่บนขาของตัวเอง
"ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี"
ใครสอนลูกให้ประหยัดได้..
คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก
พอถึงวันปีใหม่..สมเด็จย่าก็บอกว่า...
"ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน.."
เอ้า...แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...?
เสร็จแล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้...
ส่วนที่แถมนะ...มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก...
มีเมตตา...ให้เงินลูก...
ให้...ไม่ได้ให้เปล่า...สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด
สอนว่า...อยากได้อะไร...ต้องเริ่มจากตัวเรา...
คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุกวันนี้....
เขาบอกว่า..ในสวนจิตรเนี่ย...
คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง...
ประหยัดที่สุด..ทั้งน้ำ..ทั้งไฟ...
เรื่องฟุ้งเฟ้อ..ฟุ่มเฟือย...ไม่มี...
เป็นอันว่า...ภาพนี้..ชัดเจน..
 

หวังที่ 2.
 
ยามป่วยไข้...หวังเจ้า..เฝ้ารักษา
ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง...?
สมเด็จย่า..ประชวร อยู่ทีโรงพยาบาลศิริราช..
ในหลวงไปเยี่ยม..ตอนไหนครับ..?
ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ..จึงเสด็จกลับ..
ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง...
แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม..ก็หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว..
ทีมแพทย์ ที่รักษาสมเด็จย่า..
เห็นในหลวงมาเยี่ยม มาประทับ
ก็ต้องฟิต...ตามไปด้วย ต้องปรึกษาหารือกันตลอด
ว่า..จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม..?
จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น...
ทำให้สมเด็จย่า..ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น...
เห็นภาพไหม...? กลางคืน .... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า...
คืนละหลายชั่วโมง..ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน
ลองหันมาดูตัวเราเองซิ...
ตอนพ่อแม่ป่วย..โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง
ถามว่า...ตอนนี้..อาการเป็นยังไง....?
พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย
ฉันมีธุระ งานยุ่ง ต้องไป แล้ว....
โผล่หน้าไปให้เห็น... พอแค่เป็นมารยาท..แล้วก็ กลับ..
เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู...
เราไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน........น่าอายไหม...?
ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่...
ตอนแม่ป่วย....ไปทุกวัน...ไปให้ความอบอุ่น...
ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง...นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย...สมเด็จย่า...ก็ป่วย..
ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน..อยู่คนละมุมตึก..
ตอนเช้า..ในหลวงเปิดประตู...แอ๊ด......ออกมา...
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า...ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี
ในหลวง..พอเห็นแม่.. รีบออกจากห้อง..มาแย่งพยาบาลเข็นรถ
มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า
ไม่เป็นไร.. ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว
ในหลวงมีรับสั่งว่า.....แม่ของเรา....
ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น.... เราเข็นเองได้...
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นกษัตริย์....ยังมาเดินเข็นรถให้แม่
ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่...ป้อนยาให้แม่
ให้ความอบอุ่นแก่แม่....เลี้ยงหัวใจแม่...
ยอดเยี่ยมจริง ๆ... เห็นภาพนี้แล้ว.....ซาบซึ้ง.....
มาตามดูต่อ.....
 

หวังที่ 3.
เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา...
หวังลูกช่วย..ปิดตา.......เมื่อ
สิ้นใจ...
วันนั้น... ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า
อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน...
จับมือแม่..กอดแม่...ปรนนิบัติแม่...
จนกระทั่ง.."แม่หลับ..." จึงเสด็จกลับ...
พอไปถึงวัง...
เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า...สมเด็จยาสิ้นพระชนม์...
ในหลวง..รีบเสด็จกลับไป..ศิริราช...
เห็นสมเด็จย่า..นอนหลับตาอยู่บนเตียง..
ในหลวงทำยังไงครับ......?
ในหลวงตรงเข้าไป....คุกเข่า....
กราบลงที่หน้าอกแม่....
พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่...
"ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย......"
ซบหน้านิ่ง....อยู่นาน...
แล้วค่อย ๆ...เงยพระพักตร์ขึ้น....
น้ำพระเนตรไหลนอง......
ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว....
เอามือ...กุมมือแม่ไว้ มือนิ่ม ๆ ...ทีไกว
เปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก...จนได้เป็น กษัตริย์...
เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง...
ชีวิตลูก...แม่ปั้น...
มองเห็นหวี....ปักอยู่ที่ผมแม่....
ในหลวงจับหวี...ค่อย ๆ หวีผมให้แม่... หวี...หวี...หวี....
หวี...ให้แม่สวยที่สุด....
แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด...
ในวันสุดท้ายของแม่....
เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด....
เป็นสุดยอดของลูกกตัญญู...
หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว....
กษัตริย์...ยอดกตัญญู
*** ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ***

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

องค์กรแห่งการเรียนรู้


.  โลกปัจจุบัน ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะหันไปทางไหน จะเห็นว่าองค์กรแทบจะทุกวงการ จะกล่าวถึง การสร้างองค์กรให้เป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้: Learning Organization" เกือบทั้งสิ้น เพื่อเป้าหมาย อยากจะให้องค์กรนั้นสามารถแข่งขันหรืออยู่รอดในยุคเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน หรือ ในศตวรรษนี้ 



          เรามาดูกันสิว่า องค์การแห่งการเรียนรู้นั้นหมายถึงอะไร ทำไมเราจะต้องทำการเรียนรู้อยู่เสมอ อาทิเช่น ณ ตอนที่ท่านนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรไปบรรยายให้แก่นักเรียนโรงเรียนผู้นำพุประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ สมาชิกอุตสาหกรรม ณ สถาบันฝึกอบรมผู้นำมูลนิธิพลตรี จำลอง ศรีเมือง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ท่านกล่าวไว้ว่า "เมื่อใดองค์กรของท่านหยุดการเรียนรู้ องค์กรนั้นก็จบสิ้น แพ้การแข่งขันทันที เพราะฉะนั้น ท่านจึงต้องทำการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา" ซึ่งจะเห็นได้ว่า การบริหารองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิบัติ





          ใน ความเป็นจริง ความหมายที่ง่ายและสั้นที่สุดของคำว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ คือ องค์กรที่มุ่งพัฒนาและปรับปรุงขีดความสามารถของทั้งคนและองค์การ อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะได้มาซึ่งผลลัพธ์อย่างที่ทุกคนในองค์กรต้องการร่วมกันจริง ๆ (A Learning Organization is one that is continually improving its ability to get the results it truly wants.) 





          แต่ทว่า องค์กรของท่านเมื่อสามารถเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ได้แล้ว และหลังจากนั้นล่ะท่านทำอะไรกับองค์กรต่อไป ได้คิดกันอย่างไร ท่านได้นำแนวทางในการคิดที่จะให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ไปปฏิบัติอย่างไร เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วผลที่ออกมาเป็นเช่นไร สามารถนำท่านไปสู่เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ท่านและองค์กรของท่านต้องการหรือไม่ ท่านสามารถหาคำตอบเหล่านี้ได้ไหม 


          คำ ตอบที่สามารถช่วยท่านค้นหานั้นได้ก็คือ การพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ หรือ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า การพัฒนาองค์กร : Development Organization นั่นเอง ทำไมถึงได้กล่าวถึงการพัฒนา (Development) เพราะว่า เมื่อท่านได้มีแนวทางในการปฏิบัติในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้องค์กรเป็นไปอย่างที่ท่านคาดหวังแต่ว่าท่านไม่ได้มีการพัฒนาหรือสาน ต่อเลย ถามว่าสิ่งที่ท่านเพียรค้นหาหรือพยายามที่จะปฏิบัตินั้นจะสามารถทันต่อ เหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวินาทีได้หรือไม่ 



          "ประตู ของความสำเร็จขององค์กรนั้นก็คือการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง" คำกล่าวนี้ ท่านพอจะนึกออกไหมว่าท่านจะต้องทำอะไรต่อไปเพื่อให้องค์กรของท่านอยู่รอดได้ ในเศรษฐกิจโลก ณ ปัจจุบัน ความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารงานหรือการปฏิบัติงานนั้นมีสาเหตุรากฐานมา จาก คนคิดคนทำ ทั้งสิ้น เมื่อคนคิดไม่ได้ทำ คนทำไม่ได้คิด ถ้าทั้งคิดและทำแต่ไม่ได้มีการพัฒนาทุกอย่างก็เหมือนว่าเราย่ำอยู่กับที่ นั้นเอง


          ท่านสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรของท่านได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหรือยัง โดยทำการสอบถามจากสมาชิกหรือบุคลากรในองค์กรของท่านเองว่า สิ่งที่บุคลากรทุกคนควรทำและปฏิบัติในการทำงาน ณ ปัจจุบันนั้นควรทำเช่นไร ถ้าคำตอบที่ท่านได้รับไปกันคนละทาง สองทาง หรือเป็นในแนวทางเดิม ๆ ท่านเองก็คงมองได้ว่า ควรเริ่มที่จะพัฒนาองค์กรได้หรือยัง 




          ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าจะเอ่ยถึงการพัฒนาองค์กรแบบยั่งยืนน่าจะกล่าวถึง Development Organization กันได้แล้ว เพื่อที่องค์กรของท่านจะได้ไปถึงเป้าหมายที่หวังไว้อย่างไม่ตกยุค และท่านจงพึงระลึกอยู่เสมอว่า การพัฒนากำลังคนหรือองค์กรเพียงเท่าที่เป็นมาและเป็นอยู่นั้น คงไม่เป็นการเพียงพอที่จะยืนหยัดอยู่ในเวทีของการแข่งขันแบบไร้ขอบเขตของโลกแห่งการไร้พรมแดน (Globalizations) ได้อย่างแน่นอน


วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไปไต้หวันไม่ง้อทีวร์ ตอนที่ 3 วิธีการเดินทาง



การเดินทางในไต้หวันสะดวกมากค่ะ เพราะว่ามีการคมนาคมทุกรูปแบบเลยค่ะ เราไปดูกันนะคะ

รถไฟฟ้า (Mass Rapid Transit หรือ MRT) http://www.trtc.com.tw/e/index.asp


เดินทางที่ทันสมัยและรวดเร็วที่สุดในไทเป การใช้บริการรถไฟฟ้าจะต้องซื้อบัตรผ่านที่เคร่ืองขายบัตรอัตโนมัติซึ่งมี อยู่ทุกสถานี หรือเพื่อความสะดวกในการใช้บริการ สามารถซื้อการ์ดโยวโหย่วข่า (Easy Card) ค่าโดยสารไฟฟ้าขั้นต่ำ NT$20 ถึง NT$ 65 ขึ้นอยู่กับเส้นทาง

แผนที่การวิ่งด้วย MRT

แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นอนุสรณ์

Chiang Kai-Shek Memorial Hall : วงกลมหมายเลข ๑ (สายสีแดง)

Sun Yat-Sen Memorial Hall : วงกลมหมายเลข ๒ (สายสีน้ำเงิน)

แหล่ง Shopping ที่น่าสนใจ

Taipei Main Station : วงกลมหมายเลข 1 (จุดตัดสายสีแดง+น้ำเงิน)
Zhongxiao Fusing    : วงกลมหมายเลข 2 (สายสีน้ำเงิน)
Jiantan                    : วงกลมหมายเลข 3 (สายสีแดง)
Danshui                  : วงกลมหมายเลข 4 (สุดสายสีแดง เชื่อมต่อสายสีเขียว)
Gongguan              : วงกลมหมายเลข 5  (สายสีเขียว)
Ximen                   : วงกลมหมายเลข 6 (สายสีน้ำเงิน)
Longshan Temple  : วงกลมหมายเลข 7 (สายสีน้ำเงิน)
Taipei City Hall     : วงกลมหมายเลข 8 (สายสีน้ำเงิน)

รถไฟฟ้าเกาสง (Kaohsiung MRT หรือ KRTC)

http://www.krtco.com.tw/en/e-index.aspx
ค่าโดยสารของรถไฟฟ้าเกาสง เริ่มจาก NT$20 ถึง NT$60 (อัตราค่าโดยสาร)
1. ช่วงเวลาให้บริการของรถไฟฟ้าเกาสง 06:00น.-23:00 น.
2. ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในรถไฟฟ้า
3. โทรศัพท์:(07)793-8888(07:00-23:00)



รถบัสในไทเป
เดินทางในไทเปด้วยรถบัสสะดวกมากมาย ค่าโดยสารจะคำนวณตามเที่ยว
ค่าโดยสารธรรมดา NTD 15 ต่อเที่ยว ค่าโดยสารนักเรียน NTD 12 ต่อเที่ยว
รถบัสให้บริการถึง 23:00 น. อ้อไม่มีบริการทอนเหรียญบนรถบัส
สามารถใช้การ์ดโยวโหย่วข่า (Easy Card) บนรถบัส
สามารถค้นหาเส้นทางรถบัสที่ http://www.taipeibus.taipei.gov.tw/

รถประจำทางระหว่างเมือง
ใน ไต้หวันมีถนนเชื่อมต่อถึงกันทั่วทุกเมือง มีถนนไฮเวย์เชื่อมถนนใหญ่หลายสาย รถประจำทางระหว่างเมืองทั้งแบบรถโดยสารธรรมดา และรถโค้ช รายระเอียดราคารถโดยสาร เวลาออก และเส้นทางของแต่ละบริษัท สามารถดูได้ที่ http://yoyonet.biz/egoing/bus/freeway.htm

รถไฟ (Taiwan Railway Administration)

การเดินทางโดยรถไฟในไต้หวันสะดวกมากมาย สามารถจองตั๋วและซื้อตั๋วรถไฟผ่านโทรศัพท์ หรือผ่านเว็บไซท์ ก่อนนั่งรถไฟ 14 วัน
Taiwan Railway Administration : http://www.railway.gov.tw/index_ok.htm

รถไฟความเร็วสูง

รถไฟความเร็วสูงของไต้หวันมีเส้นทางเดินรถไฟจากไปเปไปเกาสง ความยาวของเส้นทางทั้งหมด 345กม. รายระเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่
http://www.thsrc.com.tw/tc/?lc=tc

แผนที่เส้นทางการเดินของรถไฟความเร็วสูง สำหรับการวางแผนเดินทางนะคะ

หน้าตาสถานีและที่อยู่ในแต่ละแห่งนะคะ


1. 台北站 Taipei Station No. 3, Beiping W. Rd, Taipei City 

 2. 板橋站 Banciao Station No.7, Sec. 2, Sianmin Blvd., Banciao District, Xinbei City

 3. 桃園站 Taoyuan StationNo. 6, Sec. 1, Kaotie Pei Rd., Chungli City, Taoyuan County

 4. 新竹站 Hsinchu Station No.6, Kaotie Si Rd., Chupei City, Hsinchu County

 5. 台中站 Taichung Station No.8, Kaotie Pei Rd., Wurih District, Taichung City


6. 嘉義站 Chiayi Station No.168, Kaotie Si Rd., Taibao City, Chiayi County


 7. 台南站 Tainan Station No. 100, Gueiren Blvd, Gueiren District, Tainan City

 8. 左營站 Zuoying Station No.105, Kaotie Rd, Zuoying District, Kaoshiung City 


สายการบินภายในประเทศ
สายการบินภายในประเทศ มีอยู่หลายสายการบินที่บินระหว่างเมืองสำคัญ และหมู่เกาะ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ http://www.caa.gov.tw/en/content/index.asp?sno=4

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากศูนย์การศึกษาไต้หวัน กรุงเทพนะคะ

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Marina Love Tour: เที่ยวไต้หวันไม่ง้อทัวร์ ตอนที่ 2 รู้จักเงินตราไต้หวันกันค่ะ

Marina Love Tour: เที่ยวไต้หวันไม่ง้อทัวร์ ตอนที่ 2 รู้จักเงินตราไต้หวันกันค่ะ

เที่ยวไต้หวันไม่ง้อทัวร์ ตอนที่ 2 รู้จักเงินตราไต้หวันกันค่ะ

ก่อนเดินทาง  เราเองก็คงต้องแลกเงินไปให้พอดีกับความต้องการในการเดินทางและการใช้จ่ายให้เรียบร้อยนะคะ จะได้สะดวกในการเที่ยวของเราค่ะ

งั้นก่อนอื่นเราต้องไปรู้จักหน้าตาของเงินไต้หวันกันค่ะ (ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก ศูนย์การศึกษาไต้หวัน กรุงเทพนะคะ) 

เงินตรา
ใช้สกุลเงิน นิวดอลลาร์ไต้หวัน (NTD) หน่วยเงินที่ใช้ (NT)
อัตรา 1 นิวดอลลาร์ไต้หวัน : 33 ดอลลาร์สหรัฐ

※ธนบัตรนิวดอลลาร์ไต้หวันแบ่งเป็น NTD 100 NTD 200 NTD 500 NTD 1000 และ NTD 200

NTD2,000
NTD1,000
NTD500
NTD200
NTD100



※硬幣則分成1元、5元、10元、及50元
NTD50
NTD10
   
NTD5
NTD1
 

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไปไต้หวันแบบไม่ง้อทัวร์ ตอนที่ 1 การทำ Visa


ประเทศไต้หวัน
เป็นประเทศที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามและมีความหลากหลายของทัศนียภาพที่น่าไปค้นหาจริง ๆ ค่ะ
ดังนั้น Marin ขอนำเพื่อน ๆ ไปเที่ยวไต้หวันกันแบบไม่ง้อทัวร์กันเลยนะคะ

อย่างแรกเลยจะเข้าประเทศได้ก็ต้องทำการขอ Visa ก่อนนะคะ ถือว่าเป็นประเทศที่ทำ Visa ได้ไม่ยากเลยค่ะ เจ้าหน้าที่ก็น่ารักมาก ๆ ให้ความช่วยเหลือและบริการดีสุดๆ เลยค่ะ

วิธีการไปสถานฑูตไต้หวันในประเทศไทย
ซึ่งในประเทศไทยจะมีเพียง "สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป : Taipei Economic and Cultural office in Thailand"
ที่อยู่ อาคารเอ็มไพร์ส ชั้น 20 ถ.สาธรไต้ กทม.ค่ะ

1.
การไปที่ง่ายที่สุดเลยคือนั่งรถไฟฟ้าค่ะ ไปลงที่ สถานีช่องนนทรี ออกประตูที่ 5 ก็จะเจอบรรไดลงด้านขวามือนะคะ ประตูทางเข้าด้านข้างอาคารอยู่ตรงบรรไดเลยค่ะ
(
แต่ถ้าเอารถไป ก็จอดรถได้ชั้นล่างของตัวอาคาร และก็นำบัตรจอดรถไป stamp ตราได้ที่ยื่นวีซ่าได้เลยค่ะ จะวางไว้ตรงส่วนที่กรอกเอกสารค่ะ)

 
2. เข้าไปแลกบัตร Visitor ที่เคาน์เตอร์ก่อนนะคะ

3.
เมื่อแลกบัตรเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นบรรไดเลื่อน ด้านขวามือสุด และก็เลี้ยวขวานะคะ เดินตรงเข้าไปเลยค่ะ..


4.
ให้ไปขึ้น ลิฟท์หมายเลข 27-28, 31-32 นะคะ ก็จะถึงชั้น 20 พอดีเลย

เวลาในการยื่นขอ Visa
1. 09.00
น. เข้าแถวรับบัตรคิว เพื่อไปยื่นขอเอกสาร โดยผ่านด่าน Scan กระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนนะคะ (กระเป๋า,มือถือ, อุปกรณ์ electronicฯ)ให้ใส่ในตระกร้าก่อนเดินเข้าประตู Scan นะคะ จะได้ไม่เกิดเสียงดัง

2.
เวลายื่นขอเอกสาร 09.00-11.30 น.

(
ตัวแบบฟอร์มก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://www.boca.gov.tw/lp.asp?ctNode=92&CtUnit=58&BaseDSD=7&mp=2 ค่ะ)

3.
เวลาขอรับเอกสาร Visa ที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 13.30-15.00 น.ค่ะ

4. Counter
ด้านซ้ายมือสุดจะเป็นการยื่นขอ Visa สำหรับไปทำงานนะคะ

5. Counter
ตรงกลางจะเป็นการยื่นขอ Visa ทั้งหมดที่ไม่ใช่การทำงาน

6. Counter
ด้านขวามือจะเป็นช่องไปรับ Visa ที่ได้รับการอนุมัติค่ะ

7.
ส่วนประตูเล็กๆ ด้านขวามือ จะเป็นห้องสัมภาษณ์สำหรับกรณีพิเศษ เช่น การแต่งงาน หรือ จดทะเบียนสมรสกับชาวไต้หวันหน่ะค่ะ

(
ก็แล้วแต่ว่าจะไปทำช่องไหนนะคะ)


เอกสารประกอบการยื่นขอ VISA
(**
เตรียมให้ครบนะคะ รับรองผ่านแน่นอน**)

1.
รูปถ่ายสี 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (ต้องไม่เป็นพื้นสี, ถ่ายมาไม่เกิน 6 เดิอน, และไม่ print มาจากกระดาษ Photo Print)

2. Passport
ตัวจริงที่มีอายุตัวเล่มเหลือมากกว่า 6 เดือน พร้อมสำเนา 1 ฉบับ

3.
สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน อย่างละ 1 ฉบับ (พร้อมนำตัวจริงไปแสดงวันยื่นด้วย)

4.
สำเนา Book Bank และ นำตัวจริงทุกเล่มที่มีมาแสดงวันยื่นด้วยนะคะ (เดินบัญชีตลอดระยะเวลา 6 เดือน)
**
กรณีคุณพ่อคุณแม่รับรอง ก็แนบ สำเนา Book Bank และBook ตัวจริงของคุณพ่อคุณแม่ด้วย **

5.
หนังสือรับรองการทำงาน(ภาษาอังกฤษ)ฉบับจริง 1 ฉบับ
****
กรณีที่ยังไม่ได้ทำงานหรือเป็นเด็กนักเรียน ก็ต้องมีการรับรองจาก Sponsor หรือ คุณพ่อคุณแม่ ที่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการเดินทางและอยู่ที่ไต้หวัน ****

6.
เอกสารการจองตั๋วเครื่องบิน 1 ฉบับ

7.
เอกสารการจองโรงแรมหรือที่พัก 1 ฉบับ

** ถ้าเคยได้ Visa ของประเทศอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือ นิวซีแลนด์ ก็ไม่ต้องแนบหลักฐานทางการเงินก็ได้ (แต่มีเผื่อไว้ก็ดีค่ะ)** เพราะส่วนตัวมี Visa ญี่ปุ่นแล้ว แต่ก็แนบเอกสารหลักฐานการเงินไปด้วยเพื่อความมั่นใจว่า ผ่านแน่นอนค่ะ

8.
ค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า
แบบ Single = 1500 บาทต่อคน
แบบ Multiple = 3000 บาทค่อคน
(
รับวันถัดไปนะคะ) แต่ถ้าอยากรับด่วนเย็นวันนั้นเลยก็เพิ่มเงินอีกคนละ 800 บาทค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทำไม ทำไม ทำไม


ยามลืมตาขึ้นมาทุกเช้า. สิ่งที่เข้ามาในหัวทุกเช้า คือ.......

วันนี้ เราต้องทำอะไร ทำที่ไหน ทำอย่างไร และ ทำเพื่อใคร และ ทำไมต้องทำ จำเป็นไหมที่ต้องทำ ........

คุณหล่ะ เคยคิดเช่นนี้หรือไ่ม่ คำว่า "ทำไม" เต็มไปหมด


และสิ่งที่ตามมาอีกระลอกเหมือนเกลียวคลื่น ก็คือ...

"อ้าว แล้วเราทำอะไรให้กับตัวเราเองบ้างหล่ะ วันนี้"

แล้วทุกอย่างก็เงียบลงไป เหมือนคลื่นลมหมดแรง

นั่นสินะ...ต้องลุกแล้วสิเรา.. ลุกขึ้นไปพบและพิสูจน์กับคำว่า "ทำไม" และ "ทำไม"

พร้อมแล้วนะ...ก้าวมาเลย มาลุยไปสู่โลกกว้าง ว่า "ทำไม" จะต้อง "ทำไม"

ทำไม นะ คนเราต้องเรียน ก็เพราะคนเราต้องการอนาคตที่ดีในการทำงาน
ทำไม นะ คนเราต้องทำงาน ก็เพราะคนเราต้องการมีฐานะที่ดี
ทำไม นะ คนเราต้องเหนื่อย ก็เพราะคนเราต้องการให้สิ่งคาดหวังสำเร็จ
ทำไม นะ คนเราต้องสนใจความรู้สึกของคนอื่นเสมอ ก็เพราะคนเราต้องมีสังคม
ทำไม นะ คนเราเมื่อสำเร็จกลับมองไม่เห็นคนที่รักเราทึ่สุด ก็เพราะคนเราต้องอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่บ้าน

แล้วทำไม คนเราต้องทำขนาดนี้ด้วย
ก็เพราะคนเราลืมรักตัวเอง และลืมมองคนที่รักเราที่สุด

ถ้าหาก...ตื่นขึ้นมาแล้ว...ยังมีแต่คำว่าทำไม..ก็ตอบได้ว่า...เพราะคุณยังรักตัวเองและคนที่รักคุณมากที่สุดไม่มากพอไง



ดังนั้น...ถึงเวลาแล้วสินะ..ที่ต้องออกจากคำว่า "ทำไม"​ และก็ เอาสองมือประคองอุปกรณ์อันทันสมัย อย่างเช่น โทรศัพท์ กดไปหาคนที่เค้ารักเรามากที่สุด และบอกว่า​ วันนี้รักพ่อกับแม่จังเลย และรักทุกๆ วัน รักไม่มีสิ้นสุด และรักตลอดไป... แค่ 5-15 นาที ทุกเช้า แค่นี้ก็ จะตอบคำถามและหาทางออก จากคำว่า "ทำไม" ได้แล้วหล่ะค่ะ